วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2552

10 วิธีการกินอาหารเพื่อสุขภาพที่ดี

10 วิธีการกินอาหารเพื่อสุขภาพที่ดี
1. กินอาหารเช้า
2. เปลี่ยนน้ำมันที่ใช้ปรุงอาหาร
3. ดื่มน้ำให้มากขึ้น
4. เสริมสร้างแคลเซียมให้กับกระดูก
5. บอกลาขนมและของกินจุบจิบ
6. สร้างความคุ้นเคยกับการกินธัญพืชและข้าวกล้อง
7. จัดน้ำชาให้ตัวเอง
8. กินให้ครบทุกสิ่งที่ธรรมชาติมี
9. เปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนรักปลา
10. กินถั่วให้เป็นนิสัย

***วิธีการดูแลผิวหน้าสาวผิวมัน ให้ใสกิ๊ง***

วิธีการดูแลผิวหน้าสาวผิวมัน ให้ใสกิ๊ง

เป็นความเข้าใจผิดถ้าคิดว่าต้องล้างหน้ากันบ่อยๆเพราะการล้างหน้ายิ่งบ่อยก็จะไปกระตุ้มการทำงานของต่อมไขมันมากขึ้น หมอผิวหนังส่วนใหญ่จะแนะนำให้ล้างหน้าวันละแค่ 2 ครั้งก็เพียงพอแล้ว และเลือกใช้ผลิตภัณท์ที่มีสาร MAP ที่ช่วยลดความมัน ส่วนเกินแต่ไม่ทำลายน้ำหล่อเลี้ยงผิวตามธรรมชาติแต่ถ้าอยากจะประหยัดสตางค์ ลองสูตรนี้กันดูค่ะนำเปลือกแตงโม มาล้างให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆนำไปปั่น กรองเอาแต่น้ำ นำมาล้างหน้า ทิ้งไว้สัก15 นาที จึงค่อยล้างออกด้วยน้ำเปล่า จะช่วยลดความมัน บนใบหน้าได้อย่างดีทีเดียว หรือจะใช้สัปปะรดก็ได้นำเนื้อสัปปะรดเปรี้ยวๆสัก 1 เสี้ยว มาสับให้ละเอียด ถ้าคิดจะทุ่นแรงด้วยเครื่องปั่นก็ไม่ต้องปั่นให้ละเอียดนัก นำมาพอกหน้าแล้วทิ้งไว้สัก 10 นาที ช่วยลดควมมันของใบหน้าได้แล้วยัง ช่วยให้ผิวดูสดใสอีกด้วย หรือถ้าจะให้ง่ายกว่านี้ โยเกิร์ตที่คุณทานเหลือติดก้นถ้วย นำมาทำมาส์คพอกหน้าสำหรับสาวผิวมันได้อย่างดีเยี่ยม

บำรุงผิวหน้า

ก่อนอื่นเราต้องรู้ก่อนว่าเค้าพอกหน้ากันทำไมนะคะ จุดประสงค์ของการพอกหน้าก็เพื่อที่จะดึงเอาสิ่งสกปรกออกจากรูขุมขน และยังกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนที่ผิวหน้าได้มากขึ้น เมื่อเราล้างหน้าออกแล้วจะรู้สึกได้เลยว่าผิวหน้าเกลี้ยงเกลาและเต่งตึงสดชื่นคะ ที่นี้ก็มาถึงวิธีกันล่ะค่ะ มาดูกันค่ะว่าเรามีวิธีอะไรกันบ้าง
1. มะละกอสุก จัดเป็นผลไม้ชั้นดีเยี่ยมสำหรับร่างกายเลยค่ะ ราคาถูกแถมยังหาได้ง่าย ในบ้านเรานี้มีให้กินกันทุกฤดูเลยมะละกอมีคุณประโยชน์ทำให้ระบบขับถ่ายทำงานได้อย่างดี ท้องไม่ผูก และยังให้พลังงานต่ำด้วยเป็นแหล่งที่ให้วิตามินสูงด้วยนะคะนอกจากเราจะเอามะละกอมารับประทานแล้ว เปลือกที่เหลือเราก็สามารถเอามาพอกหน้าได้อีกด้วย วิธีการก็คือปอกเอาเปลือกด้านในของมะละกอ โดยให้มีเนื้อในติดอยู่ด้วยเล็กน้อยมาถูที่หน้าเบาๆทิ้งไว้ประมาณ 5-10 นาที จนเพื่อนรู้สึกว่าผิวหน้าตึง แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำอุ่น หรือถ้าจะให้ดีมากกว่านั้น ควรพรมน้ำเย็นลงบนหน้าอีกนิดก็เป็นอันเสร็จพิธี แค่นี้หน้าก็ใสสดชื่นค่ะ
2.แอปเปิ้ลและน้ำผึ้ง แอปเปิ้ลที่เราจะเอามาใช้จะต้องแก่สักหน่อยนะคะเพราะเราต้องเอาแอปเปิ้ลไปหั่นเป็นชึ้นเล็กๆ แล้วจึงเอาไปปั่นลงเครื่องปั่น ค่อยๆเติมน้ำและน้ำผึ้งลงไปประมาณ 1 ช้อนชา ปั่นจนละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน ปริมาณน้ำผึ้งนั้นเราอาจจะเพิ่มเอาหรือลดเอาเองก็ได้ค่ะตามแต่สภาพผิวของเพื่อนแต่ละคะ ถ้าเพื่อนคนไหนมีผิวที่แห้งก็เพิ่มปริมาณน้ำผึ้งเข้าไป หรือถ้าเป็นคนผิวมันก็อาจจะลดลงได้ค่ะ จากนั้นก็เอาที่ปั่นรวมกันทั้งหมดนั้นมาพอกบริเวณผิวหน้าที่ทำความสะอาดแล้ว นอนพักสัก 10 นาที ล้างออกด้วยน้ำเย็นหรือน้ำนมสดก็ได้แล้วแต่สะดวก แล้วจึงตามด้วยน้ำธรรมดาอีกที วิธีนี้ก็ไม่ยากเลยใช่ไหมคะ
3.แตงกวา นมผง ไข่ขาว ของ3สิ่งนี้มีคุณสมบัติที่แตกต่างกันค่ะ ในแตงกวาจะมีซัลเฟอร์ และซิลิกอนมาก จะทำงานได้ดีร่วมกับแคลเซียมในนมผง ซึ่งเป็นสารที่ช่วยให้ใบหน้าสดใส เมื่อรวมกับคุณสมบัติของไข่ขาวที่สามารถทำให้ผิวตึง ก็จะเป็นสูตรสำเร็จความงามที่มีวิธีการง่ายๆเพียงแค่ สับแตงกวาเป็นชิ้นเล็กๆประมาณ 1/2 ถ้วย ใส่ลงในเครื่องปั่นพร้อมกับนมผง 2 ช้อนชา และไข่ขาว 1 ฟอง ตีให้เข้ากันจนคล้ายเป็นแป้งเปียก เมื่อเพื่อนๆ ได้อย่างนี้แล้วนะคะก็นำมาทาหน้าโดยทาหมุนเป็นวงกลมจากส่วนล่างของใบหน้าขึ้นไปข้างบนให้ทั่วใบหน้าวนไปวนมา ปล่อยให้แห้งอย่างน้อย 30 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่น แล้วพรมน้ำเย็นตามเพื่อกระชับรูขุมขนของให้หน้านะคะ แล้วจึงค่อยซับด้วยผ้าขนหนูนุ่มๆจนแห้ง วิธีนี้แม้จะใช้เวลานานสักหน่อยแต่ก็ได้ผลเกินคุ้มเลยนะคะ

4. เนื้อในของส้ม(กากส้ม) สำหรับเพื่อนคนไหนที่ชอบรับประทานน้ำส้มอยู่เป็นประจำนะคะ คราวนี้ก็คงไม่ทิ้งกากส้มให้เปล่าประโยชน์แล้วล่ะค่ะเพราะจริงๆ แล้ว กากส้มนี้ก็สามารถใช้มาพอกหน้าได้ด้วยเหมือนกันค่ะ ในส้ม 1 ลูกนั้น กากส้มเป็นส่วนที่ดีมีประโยชน์มากที่สุด วิธีการก็คือทำความสะอาดผิวหน้าของเราก่อน (จะเลยไปถึงช่วงลำคอก็ไม่ว่ากันค่ะ) แล้วก็ให้นำกากส้มมาพอกบนใบหน้าเลยเพื่อนก็สามารถทำกิจกรรมอย่างอื่นรอได้เลยนะคะ ไม่ว่าจะเป็นอ่านหนังสือหรือว่าจะดูโทรทัศน์ก็ได้ ซัก15 นาที จากนั้นจึงนำผ้าเปียกมาเช็ดออกอย่างเบามือที่สุด วิธีนี้ไม่ต้องล้างออกด้วยน้ำอีกนะคะ หน้าของเพื่อนๆ ก็จะสดใสไปนานเลยค่ะ

5. น้ำผึ้งกับไข่ขาว วิธีเหมาะอย่างยิ่งกับเพื่อนที่มีผิวที่มัน สามารถเอาส่วนผสมมาผสมกันเองได้โดยไม่ต้องใช้เครื่องปั่นค่ะ เพียงแค่เอาน้ำผึ้งอุ่นๆมาผสมกับไข่ขาว วิธีนี้ไม่ได้กำหนดปริมาณไว้เพื่อนๆก็ใส่ส่วนผสมได้เองตามใจชอบเลยนะคะซึ่งก็ ขึ้นอยู่กับว่าเพื่อนๆ จะชอบความเข้มข้นขนาดไหนและปริมาณความต้องการใช้มากน้อยเพียงไร พอคนจนเข้ากันดีแล้วก็เอามาพอกหน้า ทิ้งไว้ให้แห้งประมาณ 10 นาที ใช้น้ำอุ่นล้างออก อ้อ วิธีนี้ยังมีประโยชน์สำหรับเพื่อนที่กำลังเป็นสิวด้วยค่ะ
6. น้ำนม ไข่ขาว น้ำผึ้ง วิธีนี้จะคล้ายกับวิธีที่ 5 เพียงแต่ให้เพื่อนๆเพิ่มน้ำนมเข้าไปช่วยบำรุงอีกอย่าง เพราะอย่างที่บอกไปแล้วนะคะว่า น้ำนมมีแคลเซียมมาก ปริมาณส่วนที่ผสมใช้ดังนี้ค่ะ ไข่ 1 ฟอง(เอาแต่ไข่ขาวนะคะ) นมสด 1 ช้อนโต๊ะ น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา นำทุกอย่างมาผสมจนเข้ากันดี แล้วนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 10-30 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่นก็เท่านั้นเองค่ะ
7.โยเกิร์ตกลิ่นธรรมชาติ ก็ใช้โยเกิร์ตธรรมดาที่วางขายอยู่ทั่วไป แต่เน้นว่าต้องเป็นกลิ่นธรรมชาติเท่านั้นนะคะ นำมาทาให้ทั่วใบหน้าที่ทำความสะอาดเอาไว้แล้ว ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที ใช้กระดาษทิชชูหรือสำลีเช็ดออกเบาๆ จึงค่อยไปล้างหน้าอีกที วิธีนี้ค่อนข้างง่าย เพราะวัตถุดิบก็มีสำเร็จรูปอยู่แล้วเหมาะสำหรับเพื่อนๆ ที่มีเวลาน้อยเลยค่ะ มาถึงตอนนี้เพื่อนๆ หลายคนคงสงสัยกันว่า แล้วขั้นตอนการพอกหน้าล่ะเขาทำกันอย่างไร ไม่ต้องกลัวค่ะ oattyjen ก็เลยเตรียมขั้นตอนการพอกน้ามาฝากอีกด้วยสำหรับเพื่อนๆ ที่เริ่มพอกหน้าใหม่โดยเฉพาะเลยค่ะ1. เก็บผมให้เรียบร้อยซะก่อนเลยนะคะ จะรวบเอาไว้หรือจะเอาหมวกอาบน้ำคลุมไว้ก็ได้คะ2. ล้างหน้าให้สะอาด ถ้าใช้ครีมล้างหน้าควรล้างด้วยการลูบจากแนวกึ่งกลางใบหน้า เฉียงออกขึ้นไปด้านข้างลูบจากด้านล่างขึ้นไปด้านบน ยกเว้นบริเวณจมูกเท่านั้นค่ะที่ต้องลูบลง3. ทาครีมรักษาความชุ่มชื้นบางๆ เกลี่ยให้ทั่วใบหน้า4.ล้างออกด้วยน้ำอุ่น5. ลงมือเอาสิ่งที่เพื่อนๆ เตรียมไว้สำหรับพอกหน้ามาพอกให้ทั่วทั้งบริเวณใบหน้าและลำคอ ยกเว้นรอบดวงตาและปากค่ะ6. ปิดตาทั้งสองข้างด้วยสำลีชุบน้ำนม หรือเฟรชชั่นเนอร์ ที่ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์แล้วทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที หรือตามแต่ แต่ละสูตรค่ะ7. ล้างสิ่งสกปรกที่เราพอกเอาไว้ด้วยน้ำสะอาด ซับด้วยผ้าแห้งนุ่มที่สะอาด ทาครีมรักษาความชุ่มชื้นอีกครั้ง เพียงเท่านี้เพื่อนๆ ก็สามารถอวดใบหน้าสวยๆ ได้ไม่อายใครเลยค่ะ การพอกหน้าควรทำสัปดาห์ละ 1 ครั้ง แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละวันใบหน้าของเราต้องออกไปเผชิญกับสายลมและแสงแดดขนาดไหน การพอกหน้านอกจากจะบำรุงผิวหน้าให้สดใสเปล่งปลั่งแล้วยังช่วยลดสิวด้วยค่ะ เพราะมันจะช่วยดูดสิ่งสกปรกและไขมันที่อุดตันออกไป เห็นไหมค่ะว่าการพอกหน้านั้นมีประโยชน์แค่ไหน เห็นทีคราวนี้ใครที่ยังขี้เกียวจอยู่ล่ะก็ต้องลุกขึ้นมาทำอะไรเพื่อผิวหน้าเราบ้างแล้วล่ะค่ะ ก็แหมวิธีการนั้นง่ายนิดเดียวเอง โชคดีนะคะทุกคน

การใช้ภาษาไทยให้ถูกต้อง

การที่คนไทยเรา พูด อ่าน และเขียนภาษาไทยเป็นประจำทุกวัน จนเกิดความเคยชิน อาจจะทำให้หลายๆ คนไม่รู้สึกว่า “ภาษาไทย” มีความสำคัญแค่ไหน และมีคุณค่าเพียงไร หากจะเปรียบก็คงเหมือนกับ “อากาศ” ที่เราหายใจเข้าหายใจออกอยู่ตลอดเวลา จนเราแทบไม่รู้ค่าว่า หากขาดอากาศเมื่อไร เราก็ตายเมื่อนั้น ถึงแม้ว่า “ภาษาไทย” จะไม่เหมือนอากาศที่ทำให้เราถึงกับตาย แต่ถ้าหากชาติไทยเราขาด “ภาษาไทย” เมื่อไร นั่นก็หมายความว่า “ความเป็นชาติ” ส่วนหนึ่งก็สูญสิ้นไปด้วย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ได้มีพระราชนิพนธ์ตอนหนึ่งว่า “ภาษาเป็นเครื่องผูกพันมนุษย์ต่อมนุษย์ แน่นแฟ้นยิ่งกว่าสิ่งอื่น และไม่มีสิ่งไร ที่จะทำให้คนรู้สึกเป็นพวกเดียวกันแน่นอน ยิ่งไปกว่าพูดภาษาเดียวกัน” คนไทยเราแม้จะต่างเผ่าพันธุ์ ต่างเชื้อชาติ ต่างท้องถิ่น หรือต่างศาสนา แต่เมื่อใดก็ตามที่เราต่างพูด “ภาษาไทย” ทุกคนย่อมรู้สึกได้ทันที ถึงความเป็นพวกเดียวกัน ความเป็นชาติเดียวกัน ดังนั้น “ภาษา” จึงเป็นสิ่งที่จะร้อยรัด และผูกพันคนในชาติ ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ยิ่งหากอาศัยอยู่ในต่างประเทศ หรือแม้แต่ไปเที่ยว ถ้าได้ยินใครก็ตามพูด “ภาษาไทย” ขึ้นมา เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ จะเกิดความรู้สึกยินดีว่า เจอพวกเดียวกันแล้ว เจอคนไทยด้วยกันแล้ว
การที่ “ภาษา” เป็นสิ่งสำคัญก็เพราะว่า ภาษาเป็นสื่อเสียง และสื่อสัญลักษณ์ของมนุษยชาติ ที่เกิดจากการสร้างสรรค์ และสั่งสมของบรรพบุรุษสืบทอดมาสู่ลูกหลาน เป็นเครื่องมือที่ทำให้คนในชาตินั้นๆ ติดต่อสื่อสารซึ่งกันและกันได้ และเป็นเหตุให้วัฒนธรรมในด้านอื่นๆ เจริญขึ้นด้วย หากไม่มี “ภาษา” มนุษย์ก็คงไม่สามารถ สืบทอดวิชาการความรู้จากคนรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง และไม่อาจพัฒนาหรือรักษา “ความเป็นชาติ” ของตนไว้ได้ “ภาษา” จึงเป็นสมบัติทางวัฒนธรรม ที่ทรงคุณค่ายิ่งของแต่ละชาติ

เคล็ดลับ การรักษาความสะอาด และความชุ่มชื้น ของ ผิว

ลักษณะ ของผิวโดยทั่ว ๆ ไปแบ่งออกเป็น 3 ประเภทได้แก่ผิวธรรมดา ผิวแห้ง และผิวมัน นอกจากนี้ ยังมีประเภทของผิวผสม ที่แตกต่างกันอีก ซึ่งแม้ว่าผิวแต่ละประเภทนี้ ต้องการการดูแลที่แตกต่างกัน แต่สิ่งที่ผิวทุกประเภท ต้องการเหมือนกัน คือการรักษาความสะอาด และการให้ความชุ่มชื้น ซึ่งมีวิธีปฏิบัติในขั้นพื้นฐานดังต่อไปนี้ล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นกำลังดี อย่าให้ร้อนเกินไป เพราะจะทำให้ผิวแห้ง และเกิดการระคายเคืองได้ ซึ่งโดยปกติแล้วควรล้างหน้า 2 เวลา เช้ากับเย็น แต่อาจจะเพิ่มอีกสักครั้ง ในวันที่มีเหงื่อออก หรือมีน้ำมันบนใบหน้ามากเกินไปผิวธรรมดา เป็นผิวที่มีความสมดุล โดยธรรมชาติไม่แห้งหรือมันจนเกินไป แต่เมื่ออายุคุณเริ่มมากขึ้น ผิวจะเริ่มแห้งมากกว่าที่เคยเป็น การล้างหน้า จึงควรใช้ครีมล้างหน้าชนิดอ่อน ๆ ที่มีส่วนผสมของคอนดิชั่นเนอร์อยู่ในตัว จึงจะไม่ทำให้ผิวแห้งและไม่ระคายเคืองได้ง่ายสำหรับผิวมันนั้น ต่อมผลิตน้ำมันจะขยันทำงานมากเป็นพิเศษ ทำให้มีน้ำมันตามธรรมชาติ ออกมามากกว่าที่ควร และมักจะมีรูขุมขน ที่กว้างกว่าผิวชนิดอื่น จึงจำเป็นที่จะต้องล้างหน้ามากกว่าวันละ 2 ครั้ง ส่วนม้อยซ์เจอไรเซอร์ที่ใช้ ก็ควรจะเป็นชนิดที่ไม่มีน้ำมันผสม เพราะจะช่วยให้ความชุ่มชื้น กับผิวโดยไม่ไปทำให้รูขุมขนอุดตันผิวแห้ง มีสาเหตุมาจาก ความเกียจคร้าน ของต่อมผลิตน้ำมันพอ ๆ กับมลพิษรอบ ๆ ตัวคุณ โดยเฉพาะเมื่อต้องสัมผัส กับอากาศที่แห้ง เย็น เป็นเวลานาน ๆ และผิวประเภทนี้จึงมักจะไวต่อสิ่งต่าง ๆ ที่มากระทบได้ง่าย ดังนั้น จึงควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อน ๆ สำหรับทำความสะอาดผิวหน้าเป็นประจำไม่ว่าคุณจะมีผิวแบบไหน ม้อยซ์เจอไรเซอร์ ก็ยังเป็นสิ่งจำเป็นอยู่นั่นเองค่ะ เพราะมันจะช่วยทดแทน น้ำมันตามธรรมชาติ ที่ผิวต้องสูญเสียไป ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตามการปกป้องผิวจากแสงแดดการปกป้องผิวจากรังสีอุลตร้าไวโอเลต ในแสงแดด เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ในการป้องกัน การเกิดริ้วรอย เหี่ยวย่นก่อนวัย และการป้องกันที่ดีที่สุด คือการใช้ครีมกันแดด ซึ่งนอกจากจะใช้เป็นเครื่องสำอาง ที่มีครีมกันแดดผสมอยู่ในตัว เช่น ในครีมรองพื้น ลิป บาล์ม และม้อยเจอร์ไรเซอร์ แล้วคุณยังควรใช้ครีมกันแดด ในชีวิตประจำวันเป็นประจำอีกด้วย

.... -*- วิธีการดูแลผิวหน้าจ้า -*- ....

วิธีง่ายๆ ...ล้างหน้าให้สะอาดหมดจด ยังไม่ต้องชโลมด้วยครีมบำรุงใดๆทั้งสิ้น ปล่อยให้หน้าแห้งสัก 1 ชั่วโมง แล้วลองส่อง กระจกแบบขยายสุดๆ ทำในที่สว่างๆกันสักหน่อย สำรวจใบหน้า ในช่วงกลางวันล่ะเป็นดีที่สุด 1. คุณมีผิวแห้ง ถ้าสังเกตเห็นว่าหน้าคุณแห้ง แตกเป็นขุย และปรากฏริ้วรอยบนโหนกแก้ม 2. คุณมีผิวมัน ถ้าต่อมของไขมันใหญ่กว่าชาวบ้านเขา และ ยังขยันผลิตน้ำมันออกมาให้หน้าคุณดูมันเยิ้มไปทั่วใบหน้า 3. คุณมีผิวผสม ถ้าปรากฏความมันเฉพาะบริเวณทีโซน คือบริเวณจมูก คางและหน้าผาก ในขณะที่บริเวณแก้ม อาจจะดูแห้งได้ วิธีดูแลผิวสำหรับผิวแต่ละแบบ 1. สาวผิวมัน เป็นความเข้าใจผิด ถ้าคิดว่าต้องล้างหน้ากันบ่อยๆเพราะการล้างหน้ายิ่งบ่อย ก็จะไปกระตุ้มการทำงานของต่อมไขมันมากขึ้น หมอผิวหนังส่วนใหญ่จะแนะนำให้ล้างหน้าวันละแค่ 2 ครั้งก็เพียงพอแล้ว และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสาร MAP ที่ช่วยลดความมัน ส่วนเกินแต่ไม่ทำลายน้ำหล่อเลี้ยงผิวตามธรรมชาติแต่ถ้าอยากจะประหยัดสตางค์ ลองสูตรนี้กันดูค่ะนำเปลือกแตงโม มาล้างให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆนำไปปั่น กรองเอาแต่น้ำ นำมาล้างหน้า ทิ้งไว้สัก15 นาที จึงค่อยล้างออกด้วยน้ำเปล่า จะช่วยลดความมันบนใบหน้าได้อย่างดีทีเดียว หรือจะใช้สัปปะรดก็ได้นำเนื้อสัปปะรดเปรี้ยวๆสัก 1 เสี้ยว มาสับให้ละเอียด ถ้าคิดจะทุ่นแรงด้วยเครื่องปั่นก็ไม่ต้องปั่นให้ละเอียดนัก นำมาพอกหน้าแล้วทิ้งไว้สัก 10 นาที ช่วยลดความมันของใบหน้าได้แล้วยัง ช่วยให้ผิวดูสดใสอีกด้วย หรือถ้าจะให้ง่ายกว่านี้ โยเกิร์ตที่คุณทานเหลือติดก้นถ้วย นำมาทำมาส์คพอกหน้าสำหรับสาวผิวมันได้อย่างดีเยี่ยม 2. สาวผิวแห้ง ควรเลือกสบู่หรือโฟมล้างหน้าที่ค่อนข้างอ่อน แต่ถ้ามีส่วนผสมของมอยส์เจอร์ไรเซอร์ด้วย จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว หรือจะเลือกใช้ของธรรมชาติมาบำรุงผิว ก็ไม่ยาก กล้วยสุกๆ นี่แหล่ะ เป็นผลไม้ที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับสาวผิวแห้งได้เป็นอย่างดี วิธีเพิ่มความงามก็ไม่ยุ่งยากอะไรเลย เพียงนำกล้วยสุกมายีด้วยส้อมให้เละๆเข้าไว้ แล้วเติมน้ำมันมะกอกลงไปสักเล็กน้อย แค่ก็พอเหลว นำมาพอกหน้า ทิ้งไว้สัก20 นาทีแล้วจึงล้างออก เพียงแค่นี้ผิวก็จะสดใส มีน้ำมีนวลแล้วล่ะค่ะ 3. สาวผิวผสม ใช้สบู่หรือโฟมล้างหน้าที่ช่วยลดความมันส่วนเกินเฉพาะบริเวณทีโซน ส่วนบริเวณอื่น ที่ดูแห้งนั้น ใช้สบู่อ่อนๆ เพื่อรักษาน้ำหล่อเลี้ยงผิวไว้ ไม่ให้ผิวดูแห้งจนเกินไป ส่วนสูตรเพิ่มความงามตามธรรมชาติสำหรับผิวผสมนั้น แนะนำว่าให้ใช้แตงกวาบดละเอียด แล้วผสมกับนมสด ลูบไล้ให้ทั่วผิวหน้า ทิ้งไว้สักครู่แล้วจึงล้างออก ผิวหน้าจะนุ่มใสขึ้น ผิวจะสวยใส ชวนมองนอกจากจะประณีตกับการล้างหน้าและพิถีพิถันกับการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับสภาพผิวกันแล้ว การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เน้นอาหารประเภทผักสดและผลไม้ ที่อุดมด้วยวิตามินสำหรับบำรุงผิวพรรณ นอนหลับให้เต็มอิ่มรวมทั้งการออกกำลังกายกันเป็นประจำ จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ทำให้ผิวพรรณสดใส มีน้ำมีนวลและแลดูอ่อนเยาว์ตลอดกาลค่ะ

วิธีการรักษาสุขภาพเท้า

- หลังจากเท้าต้องทำงานมาทั้งวัน การแช่เท้าในน้ำอุ่นหรือนวดฝ่าเท้าช่วยผ่อนคลาย ความตึงล้าของกล้ามเนื้อเล็กๆในเท้าได้ แต่ห้ามใช้ในผู้เป็นเบาหวานซึ่งมีผิวเท้าแห้งเพราะการแช่น้ำทำให้ผิวแห้งมากขึ้นและห้ามใช้ในผู้ที่มีเท้าชาเพราะทำให้ไม่รู้ตัวว่าน้ำนั้นร้อนเกินไปอาจทำให้เท้าพองได้ -ออกกำลังเพื่อบริหารข้อเท้าและกล้ามเนื้อเท้าอย่างสม่ำเสมอทุกวันเพื่อคงความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและกระตุ้นการไหลเวียนเลือดมาสู่ปลายเท้า ท่าบริหารทำได้โดย 1. กระดกข้อเท้าขึ้นและลงสลับกันช้าๆ2. หมุนข้อเท้า โดยหมุนเข้าและหมุนออกช้าๆ 3. ใช้นิ้วเท้าจิกผ้าที่วางอยู่บนพื้นเพื่อบริหารกล้ามเนื้อเล็กๆในเท้า4. นั่ง ยกขาขึ้น เหยียดเข่าตึง แล้วกระดกข้อเท้าขึ้นค้างไว้นับ 1 – 6 ในใจถือเป็น 1 ครั้ง - หากการปวดเท้ามีการบวมร่วมด้วยและคลำดูเท้าแล้วอุ่น ๆ แสดงว่าเป็นอาการอักเสบ ควรพบแพทย์เพื่อทำการรักษา

การเลือกรองเท้าที่เหมาะสม

1. เลือกแบบที่ปลอดภัยกับเท้า ปัจจุบันมีรองเท้าหลายแบบและหลายรูปทรงให้เลือก ควรลองรองเท้าลักษณะต่าง ๆ ก่อนตัดสินใจซื้อ รองเท้าที่เหมาะสมไม่ควร มีตะเข็บแข็งอยู่ด้านในและไม่ควรเลือกแบบที่ใส่แล้วคับเกินไป หลวมเกินไป หรือมีส่วนของรองเท้ากดหรือเสียดสีกับเท้า2. เลือกแบบของรองเท้าที่เหมาะสมกับรูปเท้า เลือกรูปทรงรองเท้าที่เหมาะสมและมีลักษณะใกล้เคียงกับรูปเท้าของเราก่อน แล้วจึงลองขนาดของรองเท้า3. ไม่มีมาตรฐานที่แน่นอนของขนาดรองเท้า รองเท้าเบอร์เดียวกันจะมีขนาดต่างกันไปในแต่ละยี่ห้อแม้รองเท้ายี่ห้อเดียวกัน ถ้ารูปทรงต่างกันขนาดก็แตกต่างกันดังนั้นห้ามซื้อรองเท้าจากการดูเบอร์ ต้องลองสวมรองเท้าก่อนซื้อทุกครั้ง4. วัดขนาดเท้าทั้งสองข้างก่อนเลือกซื้อรองเท้าเสมอ เท้าคนเราเปลี่ยนแปลงได้ทั้งขนาดและรูปร่างในแต่ละช่วงอายุ อีกทั้งคนส่วนใหญ่มักมีเท้าข้างใดข้างหนึ่งกว้างหรือยาวกว่าอีกข้าง หนึ่ง ดังนั้นควรลองสวมรองเท้าทั้งสองข้างก่อนตัดสินใจซื้อทุกครั้ง5. ลองสวมเดินทุกครั้ง เมื่อเลือกรองเท้าได้แล้ว ต้องลองสวมเดินก่อนซื้อทุกครั้งเพราะรองเท้าที่ดีต้องสวมสบายทั้งในขณะนั่ง ยืนและเดิน6. ความยาวของรองเท้าที่เหมาะสม ความยาวที่เหมาะสม คือ ใส่แล้วมีระยะระหว่างปลายนิ้วที่ยาวที่สุดกับปลายของรองเท้าเหลือประมาณ 3/8 – 1/2 นิ้วฟุต หรือเท่า กับขนาดความกว้างของนิ้วหัวแม่มือ7. ความกว้างของรองเท้าที่เหมาะสม ความกว้างที่เหมาะสม คือ ส่วนที่กว้างที่สุดภายในรองเท้าควรกว้างเท่ากับความกว้างที่สุดของเท้าและอยู่ในตำแหน่งที่ตรงกัน8. ส้นเท้าต้องอยู่พอดีกับส้นรองเท้า ตำแหน่งของส้นเท้าควรอยู่กับตำแหน่งของส้นรองเท้าและมีความกระชับพอดี เมื่อเดินแล้วรองเท้าไม่หลุดจากส้นเท้า9. ถ้าใส่วัสดุเสริมในรองเท้าต้องเปลี่ยนขนาดรองเท้าให้เหมาะสม สำหรับผู้ที่มีความจำเป็นต้องใช้วัสดุเสริมภายในรองเท้า เช่นแผ่นรองใต้ฝ่าเท้า วัสดุเหล่านี้ทำให้รองเท้าคับขึ้น ดังนั้นเวลาเลือก รองเท้าต้องใส่วัสดุเสริมในรองเท้าก่อนลอง เพื่อให้ได้ขนาดรองเท้าที่เหมาะสม10. เท้าเปลี่ยนขนาดได้ตามเวลาและชนิดของกิจกรรม เท้าเปลี่ยนขนาดและรูปร่างได้ในแต่ละช่วงของวัน เท้ามักจะขยายหลังจากเดินมาก นั่งห้อยเท้านาน ๆ หรืออกกำลังกาย ดังนั้น ก่อนเลือกรองเท้าต้องคำนึงถึงเวลาและกิจกรรมที่จะนำไปใช้ให้สอดคล้องกันด้วย

วิธีการดูแลเส้นผมให้ยาว

ใครที่ผมสั้น แล้วอยากให้ผมเร็ว ๆ วันนี้เกร็ดความรู้มีวิธีดูแลให้ผมยาวเร็วขึ้นมาฝากกัน...ขั้นตอน- สระผมและนวดผมให้เรียบร้อย ใช้ผ้าขนหนูค่อย ๆ ซับผม อย่าขยี้ผมเด็ดขาด โดยเฉลี่ยแล้วผมคนเราจะยาวประมาณครึ่งนิ้วต่อเดือน
- ดังนั้นถ้าอยากให้ผมยาวเร็วขึ้น แสกผมไว้ซัก 5-6 แถว บีบวิตามิน อี แบบแคปซูลสำหรับทาหน้า นำมาทาตามรอยแสก นวดบำรุงให้ทั่วหนังศรีษะ ผมจะยาวเร็วขึ้น
- อย่าลืมที่จะทำทรีทเม้นท์สัปดาห์ละครั้ง เพราะจะทำให้มีสุขภาพผมที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน-
การทำทรีทเม้นท์หมักผมแบบธรรมชาติ- บดกล้วยหอมผสมกับน้ำผึ้ง พอกให้ทั่วทั้งศรีษะ ทิ้งไว้ 20 นาที แล้วล้างออก
- อีกสูตรหนึ่ง คือ คั้นดอกอันชัญสดกับน้ำสะอาด จนได้น้ำอันชัญสีน้ำเงินอมม่วง หมักผมทิ้งไว้ 20 นาที แล้วล้างออก สูตรนี้จะทำให้ผมดูดกดำเงางาม
- ถ้าเป็นคนผมแห้ง ต้องการให้ผมดูเงางาม ใช้แฮร์โค้ต 2-3 หยด ชโลมและนวดให้ทั่วศรีษะ แต่ถ้าเป็นคนผมมัน ไม่ควรทำวิธีนี้

15 วิธีรักษาสิ่งแวดล้อมง่ายๆ

15 วิธีรักษาสิ่งแวดล้อมง่ายๆ

1.รักษาสิ่งแวดล้อมเริ่มต้นที่ใกล้ตัว ในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมนั้น เราไม่จำเป็นต้องเดินทางไปจนถึงพื้นที่ป่าใหญ่ เพื่อปลูกป่า แต่เราสามารถเริ่มต้นอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่ถูกทำลายได้ในพื้นที่ใกล้บ้านเราเอง2. ใช้ถุงพลาสติกซ้ำหลาย ๆ ครั้ง ประหยัดถุงพลาสติกได้โดยการใช้ซ้ำหลาย ๆ ครั้ง หากถุงพลาสติกสกปรก ก็ให้ทำความสะอาดแล้วแขวนไว้ให้แห้ง เพื่อส่งกลับเข้าโรงงานสำหรับผลิตใหม่3. แยกทิ้งเศษกระดาษจากขยะอื่น โปรดหลีกเลี่ยงการทิ้งเศษกระดาษลงในถังกับขยะอื่น ๆ เพราะจะทำให้กระดาษเปรอะเปื้อนไขมัน และเศษอาหารจะทำให้เศษกระดาษนั้นนำไปผลิตใหม่อีกไม่ได้4. ใช้ผ้าแทนกระดาษทิชชู เราใช้กระดาษทิชชูเช็ดมือ เช็ดหน้า ปีละหลายล้านฟุต ซึ่งหมายถึง การโค่นต้นไม้ลงจำนวนมหาศาล ช่วยกันลดการใช้กระดาษทิชชูด้วยการวางผ้ามือไว้ใกล้อ่างล้างมือ แล้วใช้ผ้าเช็ดโต๊ะแทนการใช้กระดาษทิชชู่5. หนังสือพิมพ์สามารถแก้ไขปัญหา ขยะกระดาษ แหล่งสร้างขยะกระดาษที่สำคัญก็คือหนังสือพิมพ์ หน้าที่เป็นขยะกระดาษโดย ผู้อ่านไม่ได้อ่าน ก็คือหน้าโฆษณาธุรกิจ ซึ่งมีอยู่ฉบับละหลาย ๆ หน้า ซึ่งแม้ว่าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับหนังสือพิมพ์ แต่ ควรคำนึงว่า นั่นคือ การทำลายกระดาษสะอาด และสร้างขยะกระดาษให้เกิดขึ้นจำนวนมหาศาลในแต่ละวัน6. พลาสติกรีไซเคิล ปัจจุบันมีบริษัทกว่า 200 แห่ง ในอุตสาหกรรมการผลิตพลาสติกได้ทำการรีไซเคิลพลาสติก จำนวน 20% จากขวดเครื่องดื่ม พลาสติกที่ทำจาก Polyethylene Terephthalate หรือ PET จะถูกนำไปรีไซเคิล เป็นด้ามเครื่องจับไฟฟ้า กระเบื้องปูพื้น เส้นใยสังเคราะห์ในหมอน หรือใช้บุเสื้อแจ็คเก็ต7. วิธีเก็บกระป๋องอลูมิเนียมที่ใช้แล้ว นำกระป๋องอลูมิเนียมที่ใช้แล้วมาบี้ให้แบนก่อนทิ้ง หรือขายแก่คนรับซื้อ8. น้ำสะอาดมาจากน้ำใต้ดิน น้ำสะอาดที่เราใช้ประโยชน์ดื่มกิน ส่วนใหญ่ มาจากน้ำใต้ดิน การทิ้งขยะบนพื้นผิวดินทำให้มีผลถึงน้ำใต้ดิน เพราะน้ำฝนจะชะความเป็นพิษและความโสโครกให้ซึมลงไปถึงชั้นน้ำใต้ดินทำให้น้ำใต้ดินเน่าเสียและเป็นพิษได้9. วิธีล้างรถยนต์ ล้างรถยนต์ด้วย ฟองน้ำ และใช้ถังน้ำจะใช้น้ำเพียง 15 แกลลอน แต่ถ้าล้างด้วยสายยางจะต้องสูญเสียน้ำถึง150 แกลลอน10. ปลูกต้นไม้ในห้องช่วยลดมลพิษ ปลูกต้นไม้ในห้อง โดยปลูกไม้กระถางผสมถ่านกับดิน ถ่านจะเป็นตัวช่วยดูดซับสารมลพิษและจุลินทรีย์ภายในห้องได้11. วิธีใช้น้ำยาทำความสะอาดครัวเรือน มีสารเคมีมากกว่า 63 ชนิด ที่ใช้เป็นส่วนผสมอยู่ในน้ำยาทำความสะอาดครัวเรือน เช่น น้ำยาถูพื้น น้ำยาขัดห้องน้ำ โปรดอ่านคำแนะนำในฉลากก่อนใช้ทุกครั้ง เพื่อป้องกันตัวเองให้พ้นจากพิษภัยอันตราย12. ผักปลอดสารพิษ เมื่อใดก็ตามที่ได้ลงมือทำสวนครัวด้วยตนเอง เมื่อนั้นเราจึงจะเชื่อมั่นได้อย่างแน่นอนว่าเรากำลังมีโอกาสได้กินพืชผักที่ปลอดจากยาฆ่าแมลงแล้วจริงๆ 13. ดื่มน้ำสะอาดให้หมดแก้ว ดื่มน้ำสะอาดให้หมดแก้วทุกครั้งอย่าเหลือทิ้ง เพราะน้ำสะอาดมีเหลืออยู่น้อยในโลกนี้ และกระบวนการทำน้ำให้สะอาดก็ต้องเพิ่มค่าใช้จ่ายมากขึ้นอยู่ตลอดเวลา14. การทำความสะอาดเฟอร์นิเจอร์ การทำความสะอาดเฟอร์นิเจอร์ ทำได้ด้วยวิธีง่าย ๆ โดยใช้ผ้าบาง ๆ ชุบน้ำผสมสบู่ บิดให้หมาดแล้วใช้เช็ดถูเฟอร์นิเจอร์ จากนั้นใช้ผ้าแห้งซ้ำอีกครั้ง15. หลอดไฟฟ้าประหยัดพลังงาน การใช้หลอดไฟฟ้าแบบประหยัดพลังงาน 1 หลอด แทนการใช้หลอดไฟฟ้าแบบฟลูออเรสเซนต์ จะช่วยประหยัดพลังงานได้เป็นปริมาณเท่ากับ ถ่านหินหนัก 600 ปอนด์ ตลอดชั่วอายุของหลอดไฟฟ้าตลอดนั้น

วิธีการดูแลเส้นผม

วิธีการดูแลเส้นผม

1. ห้าม ใช้เล็บเกาหนังศีรษะเด็ดขาดหลายๆคนเวลาสระผม(รวมทั้งช่างทำผมบางร้าน) ชอบใช้เล็บเกาแกรกๆๆๆ ซึ่งไม่ควรทำค่ะ มันจะเป็นการขูดขีดทำร้ายหนังศีรษะโดยตรง ยิ่งสาวๆเล็บยาวๆนี่ น่ากลัวมั่กๆ ดีไม่ดีหนังศีรษะเป็นแผลพาลติดเชื้อสารพัดได้นะคะ ทางที่ดีเวลาสระผมให้ใช้ปลายนิ้วค่ะ คันมากก็นวดแรงหน่อยได้ นวดๆๆๆหนังศีรษะให้สะอาด ซึ่งเป็นการช่วยให้โลหิตหมุนเวียนไปในตัวด้วยค่ะ
2. ห้าม ใช้ผ้าขนหนูขยี้ผมเห็นในโฆษณาหลายๆชิ้น นางแบบสระผมแล้วใช้ผ้าขนหนูขยี้ๆๆๆผมเปียกๆแบบเมามันแล้วเราก็สยอง แถมเห็นมากะตาตัวเองก็หลายครั้งค่ะ ว่าสาวๆใช้ผ้าขนหนูขยี้ๆๆๆกะว่าเอาให้ผมแห้งคามือเร็วๆ จริงๆแล้วผ้าขนหนูมีไว้ ซับ น้ำออกจากผมค่ะ แค่ซับๆก็พอ ที่เหลือปล่อยให้แห้งเอง หรือใช้พัดลมเป่าก็ได้ค่ะ อย่าใจร้อน การขยี้จะเป็นการทำให้เกล็ดผมเสียดสีกัน ยิ่งผมเปียกจะอ่อนแออยู่แล้ว ยิ่งทำให้ผมเสียง่ายค่ะ
3. ห้าม หวีผมขณะเปียกตอนผมเปียกเส้นผมจะอ่อนแอค่ะ ความยืดหยุ่นจะน้อย ถ้ายิ่งเอาหวีซี่ถี่ๆไปหวี จะยิ่งทำร้ายผม งานนี้ก็แตกปลาย ขาดกลางตามมา ถ้าทนไม่ไหวอยากหวีจริงๆใช้หวีซี่ห่างๆดีกว่าค่ะ หรือใช้มือค่อยๆสางเอา ปกติแล้วถ้าตอนสระผมคุณระวังๆหน่อยไม่ขยี้ผมจนพันกัน ค่อยๆนวดหนังศรีษะ ค่อยๆล้างฟองแชมพูออก และค่อยๆซับน้ำจากผม คุณจะแทบไม่ต้องหวีเลยค่ะ ผมเรายาวถึงเอวนะคะ แต่ไม่เคยต้องหวีหลังสระค่ะ มันจะเรียงตัวเองตอนหลังสระใหม่ๆเพราะระวังตอนสระดีแล้ว
4. ใช้ ครีมหมักผมแทนครีมนวดผมนี่เป็นสิ่งที่เราทำมานานแล้วค่ะ ใช้ครีมหมักข้นๆแบบกระปุกนั่นแหละค่ะแทนครีมนวดขวดๆเหลวๆ ยี่ห้อไหนก็ตามศรัทธา ครีมแบบนี้จะเข้มข้นกว่าค่ะ บำรุงผมได้ดีกว่า โดยสระผมก่อนหมักทิ้งไว้ แล้วค่อยอาบน้ำ แปรงฟัน ขัดตัว ขัดหน้า ฯลฯ สุดท้ายก็ล้างครีมหมักออกจะพอดีกันค่ะ ยี่ห้อที่เราชอบจะเป็นโดฟกับโลแลนค่ะ(ถูกดี ฮี่ๆๆ)
5. พก กรรไกรเล็กๆไว้คอยเล็มผมแตกปลายสาวๆผมยาวแตกปลาย อย่าเห็นผมแตกปลายแล้วเด็ดปลายทิ้งนะคะ ยิ่งผมเสียไปกันใหญ่ พกกรรไกรเล็กๆคมๆไว้เล็มดีกว่าค่ะ (แต่ดูกาละเทศะด้วยเน้อ งัดออกมาเล็มกลางห้องประชุมคงไม่ค่อยเหมาะแน่) ค่อยๆเล็มไปค่ะ ผมที่แตกปลายแล้วจะไม่มีทางกลับมาติดกันได้อีกอย่างแน่นอน(ยกเว้นเอากาวทา 555) เสียแล้วเสียเลยค่ะ ต้องเล็มทิ้งเท่านั้น อย่าไปเชื่อโฆษณาที่ว่าแก้ผมแตกปลายได้ โม้ทั้งเพค่ะ เล็มทิ้งแล้วค่อยบำรุงใหม่เท่านั้นคือคำตอบ
6. ใช้ น้ำมันหมักผมก่อนสระวันไหนว่างๆลองใช้น้ำมันหมักผมดูค่ะ เลือกตามใจชอบ เราลองมาแล้วทั้งน้ำมันมะพร้าว(แบบสกัดเย็นนะคะ จะหอมหวานๆน่ากินมั่กๆ) น้ำมันมะกอก(ที่ขายในซุปเปอร์นั่นแหละค่ะ เลือกแบบเวอร์จิ้นออย) น้ำมันงา (ตามที่ขายของโอท็อปจะมีแบบไว้หมักผมค่ะ) ยกเว้นน้ำมันหมูยังไม่เคยค่ะ -_-" หมักตอนผมแห้งๆนั่นแหละค่ะ ทิ้งไว้สัก 30 นาทีขึ้นไป แล้วสระตามปกติ (พี่คนข้างๆแนะว่าถ้าผมเสียมากให้ใส่ไข่แดง 1 ฟองด้วยค่ะ ผมพี่เค้าสวยปิ๊งเลย แต่เราเหม็นอ่ะ ฮือๆๆ)ถ้าใครผมมันมากก็ไม่ต้องใส่ครีมนวดผมก็ได้ค่ะ ผลที่ได้คือจะทำให้ผมนิ่มมีน้ำหนักขึ้น แต่วิธีนี้ไม่แนะนำสำหรับสาวผมดัดนะคะ เพราะอาจทำให้ลอนคลายเร็วขึ้น

สถานที่ท่องเที่ยวจังหวัดประจวบคีรีขันธ์

อัศจรรย์ลำแสงแห่งองศาของความลงตัวที่ถ้ำพระยานคร ::

ถ้ำพระยานครนั้น สวยงามไม่เหมือนใคร ในองศาของแสงที่ลงตัว ตามวันเวลา และฤดูกาล นี่คือลำแสงแห่งความงามอันเป็นที่สุด หนึ่งในดินแดนแห่งถ้ำงามของเมืองไทย คือ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ หนึ่งในถ้ำงามที่ลือเลื่องนั้น คือถ้ำพระยานครที่อุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด ด้วยรัชกาลที่ 5 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระที่นั่งคูหาคฤหาสน์โดดเด่นเป็นสง่าอยู่กลางถ้ำ ยามที่ย่างเข้าสู่ฤดูร้อนเวลาราว 11.00 น. ลำแสงแห่งองศาของความลงตัวจะสาดส่องผ่านปล่องเบื้องบนลงสู่พลับพลาที่ประทับ งามราวกับเมืองสวรรค์ ด้วยพลับพลา นั้นจะกลายเป็นสีทองสุกสกาวราวกับทองคำ
ช่วงเวลาที่ดีที่สุด: ประมาณ 11.00 น.ฤดูกาลที่ดีที่สุด: ฤดูร้อนราวเดือนมีนาคมถึงเดือนเมษายน จุดชมวิวที่ดีที่สุด: จากมุมมองด้านหน้าพลับพลาที่ประทับ

ข้อสอบคอมพิวเตอร์

1. การทำงานของคอมพิวเตอร์แบ่งการทำงานได้เป็นกี่ส่วน อะไรบ้าง
ตอบ 4 ส่วน ได้แก่ 1. รับข้อมูลเข้า (Input Device) เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า อุปกรณ์อินพุท ใช้สำหรับในการสั่งงานคอมพิวเตอร์ เช่น เม้าส์ คีย์บอร์ด โมเด็ม จอยสติ๊ก เป็นต้น
2. ประมวลผล (Processing Device) อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ประมวลผลข้อมูล คือ CPU (Central Processing Unit) ซึ่งทำหน้าที่คล้าย ๆ กับ "สมอง" สำหรับ CPU ที่หลาย ๆ คนอาจเคยได้ยินชื่อมาแล้ว เช่น Intel, ADM, Cyrix เป็นต้น
3.เก็บข้อมูล (Storage Device) อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่เก็บข้อมูล และเป็นเครื่องช่วยในการบันทึกข้อมูล เช่น ฮาร์ดดิสก์ ฟลอปปีดิสก์ เทปไดรฟ์ ซีดีรอมไดรฟ์, zip disk, MO, PD, DVD เป็นต้น
4. แสดงผลลัพธ์ (Output Device) เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า อุปกรณ์เอ้าต์พุต ทำหน้าที่แสดงผลลัพธ์ออกมา เช่น แสดงบนจอภาพ หรือพิมพ์สู่กระดาษ รวมทั้งเสียงที่ขับออกมาจากลำโพง เป็นต้น
2. ส่วนประกอบใน PC ประกอยด้วยส่วนประกอบหลักๆภายใน pc มีอะไรบ้าง
ตอบ1. entral processing unit (CPU) - ถือเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด และเป็นศูนย์กลาง การทำงานของ PC
2.Memory - หรือหน่วยความจำ ซึ่งถือว่า เป็นหน่วยจัดเก็บข้อมูล ที่ทำงานได้รวดเร็วที่สุด
3.Mainboard - ถือเป็น อุปกรณ์ชิ้นใหญ่ที่สุด ที่อยู่ภายในเครื่อง PC โดยลักษณะของมันแล้ว จะเป็นแผ่น circuit board รูปร่างสีเหลี่ยมผืนผ้า ซึ่งเต็มไปด้วย วงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่ซับซ้อน
4.Power supply - ถือเป็น หม้อแปลงไฟฟ้าของระบบ เนื่องจาก อุปกรณ์ทุกชิ้น ที่ติดตั้งอยู่ภายใน PC นั้น จะต้องได้รับ ไฟฟ้าหล่อเลี้ยง มาจาก Power Supply ด้วยกันทั้งสิ้น
5.Hard disk - มันคือ คลังเก็บข้อมูลของระบบ
6.Operating system - หรือระบบปฏิบัติการ ซึ่งถือเป็นส่วนของซอฟต์แวร์ ที่ถูกจัดเก็บอยู่บนฮาร์ดดิสก์7.Chipset - ถือเป็นชิ้นส่วน ที่ควบคุมการทำงาน ของทั้งระบบ ตั้งแต่ CPU, หน่วยความจำ, IDE Drive หรือแม้แต่กราฟฟิคการ์ด
8.ระบบบัส และ Port ต่อเชื่อม
9.Sound card - PC ของคุณ อาจกลายเป็นใบ้ขึ้นมา
10.Graphic Card - ถือเป็นส่วนของการแสดงผล ซึ่งจะช่วยให้จอภาพของคุณ แสดงภาพต่างๆ ได้อย่างเต็มที่ และก็เช่นเดียวกับ Sound Card

สำหรับแม่...น้อยกว่านี้ได้ยังไง

แม่เป็นผู้มีพระคุณของเรา
เลี้ยงดูเรามาตั้งแต่เล็กจนโต
ไม่สบายก็ดูแลจนหาย
และลูกคนนี้ขอมอบกลอนนี้ให้แม่

อยากจะแต่งกลอนรักให้แม่หนึ่งบท
มันสะกดจากใจลูกคนนี้
ว่ารักแม่ห่วงแม่อยู่ทุกทีสีข้อความ
แม้ไม่มีเงินทองให้มากมาย
ลูกคนนี้แต่งกลอนไม่ค่อยเก่ง
อยากสรรหาคำพูดบอกกับแม่นี้
ลูกนั้นอยากอยู่กับแม่ทุกนาที
ขอจบกลอนลูกรักแม่แค่นี้เอย

แนะนำตัว

ชือ นางสาวอนันญา ธานี
ชั้น ม.4/3 เลขที่ 29
โรงเรียนอาเวมารีอา
บุคคลที่แนะนำให้ทำบล็อก คุณครู วีระชน ไพสาทย์
ความรู้สึกที่ได้ทำเว็บไซต์นี้ รู้สึกเป็นปลื้มมากที่ได้มีบล็อกเป็นของตนเอง